สังคมฯ


กิจกรรมทางเศรษฐกิจ


กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบไปด้วย
การผลิต คือ การนำปัจจัยการผลิตมาสร้างสินค้าและบริการ
1.ประเภทของการผลิต
การแปรรูป
การเลื่อนเวลาใช้สอย
การเปลี่ยนสถานที่
การเปลี่ยนกรรมสิทธิ์การซื้อขาย
การให้บริการ

2.ปัจจัยการผลิต หมายถึง ทรัพยากรที่นำมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ
ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ
ทุน คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการผลิต
แรงงาน
การประกอบการ : การบริหารปัจจัยการผลิตอื่นๆ และรวมทั้งรับภาวะความเสี่ยงในธุรกิจ

รายได้ของเจ้าของปัจจัยการผลิต

เจ้าของ ที่ดิน --> ค่าเช่า

เจ้าของ แรงงาน --> ค่าแรง เงินเดือน

เจ้าของ ทุน --> ดอกเบี้ย

ผู้ ประกอบการ --> กำไร

3.ลำดับขั้นในการผลิต
การผลิตขั้นแรกหรือขั้นปฐมภูมิ (primary production) เป็นการผลิตที่ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติโดยตรง วิธีการผลิตง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน
การผลิตขั้นที่สองหรือขั้นทุติยภูมิ (secondary production) เป็นการผลิตที่ต้อง อาศัยผลผลิตอื่นมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต กรรมวิธีการผลิตมีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น ต้องใช้เครื่องมือ และอุปกรณ์เพื่อประกอบการผลิตมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการผลิตในด้านอุตสาหกรรม
การผลิตขั้นที่สามหรือขั้นตติยภูมิ (tertiary production) เป็นการผลิตในลักษณะการให้บริการด้านการขนส่ง การบริการ


การบริโภค


ความหมายของการบริโภค คือ การใช้ประโยชน์จากสินค้าและบริการทั้งในรูปของการบริโภคและอุปโภค ซึ่งการบริโภคหมายถึงการใช้ประโยชน์จากสินค้าโดยการนำเข้าสู่ร่างกาย ส่วน อุปโภคจะหมายถึง การใช้ประโยชน์จากสินค้านั้นโดยไม่ต้องผ่านเข้าสู่ร่างกาย

ประเภทของการบริโภคมีทั้งหมด 2 แบบ คือ
1.การบริโภคโดยตรง : การบริโภคที่ให้อรรถประโยชน์แก่ผู้บริโภคขณะที่กำลังบริโภค เช่น การแปรงฟัน อาบน้ำ ฟังเพลง ดื่มน้ำ เป็นต้น

2.การบรโภคทางอ้อม : การบริโภคที่ให้อรรถประโยชน์แก่ผู้บริโภคในเวลาต่อไป เช่น การใช้น้ำมัน วัตถุดิบต่างๆ การใช้เครื่องจักรผลิตสินค้า เป็นต้น

พฤติกรรมการบริโภค พฤติกรรมการบริโภค หมายถึง การตัดสินใจเลือกสินค้าและบริการ ภายใต้งบประมาณที่มีเพื่อความพึงพอใจสูงสุด
ทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค แบ่งออกเป็น 2 ทฤษฎี
1.ทฤษฎีอรรถประโยชน์ เป็นทฤษฎีที่ศึกษาประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการบริโภค โดยศึกษาความพอใจของผู้บริโภคที่เกิดจากการบริโภคสินค้าและบริการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในระยะเวลาหนึ่ง โดยตั้งสมมุติในการวัดความพึงพอใจออกมาเป็นตัวเลข
2.ทฤษฎีเส้นความพอใจเท่ากัน เป็นทฤษฎีที่อธิบายความพึงพอใจของผู้บริโภคด้วยการเปรียบเทียบความพอใจ แทนที่จะเป็นการวัดความพึงพอใจออกมาเป็นตัวเลข กล่าวคือ ผู้บริโภคสามารถบอกได้แต่เพียงว่าชอบสินค้าหรือบริการนั้น ๆ มากกว่า น้อยกว่าหรือเท่ากับสินค้าหรือบริการชนิดอื่น ๆ โดยไม่สามารถระบุความแตกต่างออกมาเป็นตัวเลขได้


การแลกเปลี่ยน


การแลกเปลี่ยน หมายถึง การนำสินค้าและบริการมาแลกเปลี่ยนกันโดยวิธีการต่างๆ

ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน คือ มนุษย์ไม่สามารถ ผลิตสินค้าและบริการได้ทั้งหมด

วิวัฒนาการ การแลกเปลี่ยน แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1.การแลกเปลี่ยนโดยตรง Barter System (ของแลกของ)

ข้อบกพร่องของการแลกเปลี่ยน barter system

(1)อีกฝ่ายต้องมีสินค้าที่อีกฝ่ายต้องการ การแลกเลี่ยนจึงจะเกิดขึ้นได้

(2)สินค้าและบริการจำนวนมากไม่สามารถแบ่งออกเป็นหน่วยย่อยได้

(3)สินค้าไม่เหมาะที่จะเป็นหน่วยวัดข้อมูลค่าสำหรับการแลกเปลี่ยน

(4)สินค้าบางชนิดเก็บได้ไม่นาน


2.การใช้เงืนเป็นเสื่อกลางการแลกเปลี่ยน(Exchange System with money)

เงิน คือ สิ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปให้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ทำให้การแลกเปลี่ยนสะดวกรวดเร็วขึ้น

น้าที่ของเงินในระบบเศรษฐกิจ มีทั้งหมด 4 ประการ คือ

เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกและทำให้เกิดการแบ่งงานกันนำ เพราะแต่ละคนจะทำอาชีพที่ตนมีความถนัดมากที่สุดเมื่อได้เงินก็นำไปซื้อสินค้าและบริการอื่นๆ
เป็นมาตรฐานการวัดค่า ทำให้สินค้าและบริการทุกชนิดถูกประเมินเป็นเงินตราเดียวกัน สะดวกในการเปรียบเทียบมูลค่าและเป็นประโยชน์ในการทำบัญชีที่สามรถบวกลบกันได้โดยตรงเพราะมีหน่วยเดียวกัน
เป็นมาตรฐานการชำระหนี้ภายหน้า ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ ทำให้ธุรกรรมการซื้อเชื่อขาย เชื่อดำเนินไปได้อย่างสะดวก เพราะทุกคนเชื่อว่าเงินสามารถชำระหนี้ได้
เป็นเครื่องสะสมมูลค่า เงินจัดเป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่งที่สะสมไว้ได้ บุคคลอาจเลือกเก็บเป็นเงินเพื่อนำไปใช้จ่ายในอนาคตต่อไป โดยเงินเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องตัวมากที่สุด แต่การเก็บเงินไว้เฉยๆ จะไม่ให้ผลตอบแทนเหมือนการออมในสินทรัพย์อื่นๆ
ประเภทของเงิน
(1)เงินปฐมภูมิ (เงินผลิตภัณฑ์) เืงินที่มีมูลค่าในตัวเอง คือ เงินที่ทำหน้าที่เหมือนสินค้าทั่วๆไปด้วย เช่น ทองคำ อัญมณี หนังสัตว์
(2)เงินทุติยภูมิ (เงินที่ไม่ใช่) ผลิตภัณฑ์:เงินที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเท่านั้นไม่มีมูลค่าในตัวเองปัจจุบัน เงินแบ่งได้ 3 ประเภทคือ เหรียญกษาปณ์ ธนบัตร เช็ค
3.การใช้เครดิต เช่น เช็คเดินทาง ตั๋วแลกเงิน
4.สถาบันเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยน : คนกลาง ตลาด และธนาคาร
คนกลาง คือ ตัวกลางระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ทำให้การซื้อขายสินค้าบริการสะดวกรวดเร็ว
ตลาด คือ สถานที่ที่มีการซื้อขายกัน

การกระจาย การกระจาย สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด
1.การกระจายสินค้าและบริการไปยังผู้บริโภค
2.การกระจายรายได้ ให้แก่เจ้าของปัจจัยการผลิต

อุปสงค์ – อุปทาน

อุปสงค์ (Demand) หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อที่ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อ (Purchasing Power)
ปัจจัยที่มีผลต่ออุปสงค์ คือ

รายได้ของผู้บริโภค
ราคาสินค้า
รสนิยมของผู้บริโภค กฎของอุปสงค์ : ราคาสูง - อุปสงค์ต่ำ
ราคาต่ำ – อุปสงค์สูง
*ยกเว้น ของอ้อวดฐานะ เช่น รถยนต์ราคาแพง อัญมณี และเครื่องประดับ
ความสัมพันธ์ของอุปสงค์ กับ ราคา เป็นแบบความสัมพันธ์ในทางลบ (Negative Relationship)

อุปทาน (Supply) หมายถึง ปริมาณความต้องการขายของผู้ขาย
ปัจจัยที่มีผลต่ออุปทาน คือ

ต้นทุนในการผลิต
ระดับเทคโนโลยีในการผลิต
ราคาสินค้า กฎของอุปทาน : ราคาสูง – อุปทานสูง
ราคาต่ำ – อุปทานต่ำ
*ยกเว้น ของหายากที่ไม่สามารถผลิตเพิ่มอีก เช่น โบราณวัตถุ แสตมป์ เงินเหรียญหายาก

ราคาดุลยภาพ
ราคาดุลยภาพ หมายถึง ภาวะที่ราคามีความเหมาะสม (ราคาดุลยภาพ) ทำให้ปริมาความต้องการซื้อ(อุปสงค์) เท่ากับ ปริมาณความต้องการขาย (อุปทาน) สินค้าจึงหมดพอดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น