กาพย์ยานี
กาพย์ยานี เป็นคำประพันธ์ไทยประเภทกาพย์ที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด มีทั้งแต่งสลับกับคำประพันธ์ประเภทอื่นและแต่งเพียงลำพัง กาพย์ยานีบทหนึ่งมีสองบาท บาทละ 11 คำ คนทั่วไปจึงนิยมเรียกว่า กาพย์ยานี 11
ประวัติ
กาพย์ยานี มีหลักฐานควรเชื่อว่าได้ชื่อมาจากคาถาภาษาบาลีที่ยกเป็นตัวอย่างฉันท์ในจินดามณีคือ อินทรวิเชียรฉันท์ ยกตัวอย่างว่า๏ ยานีธภูตา นิสมาคตานิ ภุมมานิวายา นิวอันตลิกเข
จึงทำให้ผู้รู้ส่วนใหญ่จัดว่ากาพย์เป็นคำประพันธ์เดียวกับฉันท์ เพียงแต่เราไม่บังคับครุและลหุ เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีชื่อกาพย์ยานีในตำรากาพย์สารวิลาสินีและกาพย์คันถะอันได้ชื่อว่าเป็นต้นเค้าของกาพย์ทั้งมวลเลย
ฉันทลักษณ์
กาพย์ยานี มีหลักฐานควรเชื่อว่าได้ชื่อมาจากคาถาภาษาบาลีที่ยกเป็นตัวอย่างฉันท์ในจินดามณี คือ อินทรวิเชียรฉันท์ ยกตัวอย่างว่า ๏ ยานีธภูตา นิสมาคตานิ ภุมมานิวายา นิวอันตลิกเข
จึงทำให้ผู้รู้ส่วนใหญ่จัดว่ากาพย์เป็นคำประพันธ์เดียวกับฉันท์ เพียงแต่เราไม่บังคับครุและลหุ เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีชื่อกาพย์ยานีในตำรากาพย์สารวิลาสินีและกาพย์คันถะอันได้ชื่อว่าเป็นต้นเค้าของกาพย์ทั้งมวลเลย
ฉันทลักษณ์
หนึ่งบทมีสองบาท บาทละ 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 6 พยางค์ บังคับสัมผัสระหว่างวรรคที่ 1, 2 และ 3 ทิ้งสัมผัสวรรคที่ 4 สัมผัสระหว่างบทส่งจากท้ายบทแรกไปยังท้ายบาทแรกของบทต่อไป ดังตัวอย่าง
┌──↓─┐
○○○○● ○○●○○●
┌─────────┘
○○○○● ○○○○○●┐
┌──↓─┐ │
○○○○● ○○●○○●┘
┌─────────┘
○○○○● ○○○○○●┐
│
พัฒนาการของกาพย์ยานี
กาพย์ยานีในยุคแรก ๆ บังคับเฉพาะสัมผัสระหว่างบาท และสัมผัสระหว่างบทเท่านั้น สัมผัสระหว่างวรรคไม่บังคับ ดังตัวอย่างจากอนิรุทธ์คำฉันท์ และสมุทรโฆษคำฉันท์
๏ โดยทิศอุดรมี
พระนครอันควรชม
สมญาชื่อเสียงพรหม-
บุรีบุราณกาล
๏ อาจผจญบุรีอิน-
ทรอันเทพยฤมาน
มหามเหาฬาร
จรรโลงธารษตรี
๏ ปราการกำแพงรัตน-
อันรอบบุรีศรี
ทัดพายุพิถี
คือกำแพง ณ จักรพาฬ
๏ โขลนทวารพิศาลสรรพ
ประดับโครณทุกทวาร
หอห้างสรล้างกาญ-
จนกุรุงซริน
— สมุทรโฆษคำฉันท์
๏ บัดนั้นสมเด็จหลาน
กฤษณเทพจักรี
รำลึกพนาลี
สุขรมยกรีฑา
๏ เสด็จไปบังคมพระ
อัยกาธิเบศร์ลา
จักไปพนาทวา
พนมพฤกษศีรขร
๏ เถื่อนถ้ำพนาลี
คชสีหองค์อร
กวางทรายรมั่งมร
สัตวสมสกอหลาย
๏ มสระสโรชา
กรบุษปเรียงราย
ขจคนธอบอาย
ภุมรีภรมัว
— อนิรุทธ์คำฉันท์
สมัยอยุธยายุคกลางและยุคปลายได้เพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคแรกกับวรรคที่ 2 แล้ว ต่อมา เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร กวีผู้ชำนาญเชิงกาพย์ ทรงเพิ่มสัมผัสสระในคำที่ 2 - 3 วรรคแรก และคำที่ 3 - 4 ในวรรคหลัง อย่างเป็นระบบ ทำให้จังหวะอ่านรับกันเพิ่มความไพเราะมากขึ้น และส่งอิทธิพลมาถึงกวีสมัยรัตนโกสินทร์ ตลอดถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวดังตัวอย่าง
๏ ปลากรายว่ายเคียงคู่
เคล้ากันอยู่ดูงามดี
แต่นางห่างเหินพี่
เห็นปลาเคล้าเศร้าใจจร
๏ หางไก่ว่ายแหวกว่าย
หางไก่คล้ายไม่มีหงอน
คิดอนงค์องค์เอวอร
ผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร
๏ ปลาสร้อยลอยล่องชล
ว่ายเวียนวนปนกันไป
เหมือนสร้อยทรงทรามวัย
ไม่เห็นเจ้าเศร้าบ่วาย
๏ เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ
เนื้อน้องฤๅอ่อนทั้งกาย
ใครต้องข้องจิตชาย
ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง
— กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร
สุนทรภู่ ก็เป็นอีกตำนานหนึ่งที่ประยุกต์กาพย์ยานีของกรุงศรีอยุธยา โดยให้ความสำคัญกับสัมผัสเป็นหลัก มีการเพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคที่ 3 กับวรรคที่ 4 รวมทั้งให้ความสำคัญกับน้ำหนักคำและน้ำเสียงด้วยดังตัวอย่าง
๏ ขึ้นกกตกทุกข์ยาก
แสนลำบากจากเวียงไชย
มันเผือกเลือกเผาไฟ
กินผลไม้ได้เป็นแรง
๏ รอนรอนอ่อนอษฎงค์
พระสุริยงเย็นยอแสง
ช่วงดังน้ำครั่งแดง
แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร
— กาพย์พระไชยสุริยา
ขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงกินกาพย์ยานี โดยละทิ้งสัมผัสไปมากแต่มาเล่นน้ำหนักของคำและทรงใช้สัมผัสอักษรแทนสัมผัสระหลายครั้ง และน่าจะเป็นตัวตั้งสำหรับกาพย์ยุคหลังๆ ครั้งที่นายผี (อัศนี พลจันทร) สร้างสรรค์กาพย์ยานีรูปใหม่ ดังตัวอย่าง
๏ ดาวเดือนก็เลื่อนลับ
แสงทองระยับบพโยมหน
จวบจวนพระสุริยน
จะเยี่ยมยอดยุคันธร
๏ สมเด็จพระหริวงศ์
ภุชพงศ์ทิพากร
เสด็จลงสรงสาคร
กับพระลักษณ์อนุชา
— บทพากย์รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ในยุคกึ่งพุทธกาล นายผี หรือ อัศนี พลจันทร ได้สั่นสะเทือนวงการกาพย์ด้วยลีลาเฉพาะตัว โดยทิ้งสัมผัสในไปมาก หันมาใช้สัมผัสอักษรแทน เน้นคำโดดอันให้จังหวะสละสลวยจนคล้ายอินทรวิเชียรฉันท์กลายๆ ดังตัวอย่าง
๏ ในฟ้าบ่อมีน้ำ
ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย
ก็รีบซาบบ่อรอซึม
๏ แดดเปรี้ยงปานหัวแตก
แผ่นดินแยกอยู่ทึมทึม
แผ่นอกที่ครางครึม
ขยับแยกอยู่ตาปี
— อีศาน
ขณะที่กวีในยุคปัจจุบันต่างก็แสวงหาลีลาเฉพาะตัว อย่างเช่น
๏ การเกิดย่อมเจ็บปวด
ต้องร้าวรวดและทรมา
ในสายฝนมีสายฟ้า
ในผาทึบมีถ้ำทอง
๏ มาเถิดมาทุกข์ยาก
มาบั่นบากกับเพื่อนพ้อง
อย่าหวังเลยรังรอง
จะเรืองไรในชีพนี้
— หนทางแห่งหอยทาก ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
๏ ด้วยธรรมนั้นเทียมเท่า
แต่ใครเล่าที่ครอบงำ
เอาเปรียบและเหยียบย่ำ
มวลชีวิตจนผิดไป
๏ ในน้ำทุกหยดน้ำ
หรือใช่น้ำเฉพาะใคร
ลมแดดหรือดินใด
ล้วนสมบัติอันเป็นกลาง
— เพลงไทยของคนทุกข์ ของ ไพวรินทร์ ขาวงาม
๏ พฤกษ์ไพรไสวพริ้ว
วะไหวหวิวกับวันวาร
เสียงขับส่งศัพท์ขาน
คือสัตว์ส่ำซึ่งร่ำเสียง
๏ เริงเร้าเหนือเงาร่ม
สำราญรมย์แลรายเรียง
ร้องขานผสานเคียง
ผสมคู่สมสู่คา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น